ความเป็นมาของวันตรุษจีน
วันตรุษจีน หรือที่บางคนเรียกว่าวันปีใหม่จีน เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวจีนทั่วโลก มีความหมายลึกซึ้งเกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่ ความโชคดี และการบูชาบรรพบุรุษ เทศกาลนี้จัดขึ้นตามปฏิทินจันทรคติของจีน ซึ่งจะตรงกับวันแรกของปีใหม่ตามปฏิทินจีน โดยจะมีระยะเวลาเฉลิมฉลองประมาณ 15 วัน เริ่มตั้งแต่วันตรุษจีน (วันขึ้นปีใหม่) ไปจนถึงเทศกาลโคมไฟในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 (วันตรุษจีนถือว่าเป็นวันแรกของการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ในปีนั้น)
ตำนานและความเชื่อ
หนึ่งในตำนานที่เกี่ยวข้องกับวันตรุษจีนคือเรื่องราวของ “ปีศาจนาคราช” หรือ “เนียง” (Nian) ซึ่งเป็นปีศาจที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ มักจะออกมาจากทะเลหรือตามภูเขาเพื่อทำลายหมู่บ้านในช่วงปีใหม่ จับกินคนและทำลายทรัพย์สิน ชาวบ้านต่างหวาดกลัวและไม่รู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากปีศาจตัวนี้ได้อย่างไร
จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งมาช่วยเหลือหมู่บ้านโดยบอกวิธีการเอาชนะปีศาจ เนื่องจากปีศาจกลัวเสียงดังและสีแดง ดังนั้น ชาวบ้านจึงเริ่มใช้วิธีการจุดประทัด การใช้ธงแดง และการตกแต่งบ้านด้วยสีแดงเพื่อต่อสู้กับปีศาจ รวมถึงการทำเสียงดัง เช่น การเคาะกลองหรือการตีกลอง เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากหมู่บ้าน ต่อมาจึงกลายเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันว่า วันตรุษจีนจะต้องมีการจุดประทัดและประดับประดาด้วยสีแดง เพื่อต้อนรับปีใหม่และขับไล่ความโชคร้าย
ความสำคัญทางวัฒนธรรมของวันตรุษจีน
ในวันตรุษจีน ชาวจีนจะกลับบ้านไปพบหน้าครอบครัว ถือว่าเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ โดยเฉพาะในประเทศจีนและพื้นที่ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ เช่น ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งในประเทศไทย วันตรุษจีนเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว เพื่อขอพรและขอโชคลาภในปีใหม่
หนึ่งในพิธีกรรมที่สำคัญคือการไหว้บรรพบุรุษ โดยจะมีการตั้งโต๊ะบูชาพร้อมของไหว้ต่างๆ ที่มีความหมายมงคล เช่น ผลไม้ขนมหวาน ขนมเข่ง ขนมเปี๊ยะ อาหารมงคลต่างๆ เช่น หมู ไก่ ปลา และข้าวต้มมัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการจุดธูปและเผากระดาษเงินกระดาษทองเพื่อส่งเงินไปให้บรรพบุรุษตามความเชื่อว่า ท่านจะได้รับสิ่งเหล่านี้ในโลกหลังความตาย
สิ่งที่ควรทำในวันตรุษจีน
1. ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ
วันที่ชาวจีนต้องไว้เจ้านั้นเราเรียกว่า “วันซาจั๊บ” โดยมักจะทำในช่วงเช้าหลังจากที่ไหว้เจ้าในบ้าน คือ ตีจูเอี๊ยะและไหว้บรรพบุรุษ แล้วในตอนเที่ยงจึงไหว้ผีไม่มีญาติ โดยของไหว้จะมีทั้งอาหารคาว เช่น เป็ด ไก่ รวมถึงอาหารหวานด้วย จะมากหรือจะน้อย ก็ขึ้นอยู่กับฐานะของผู้ไหว้
2. กินเจมื้อเช้า คือ มื้อแรกของปี
ในวันตรุษจีน (วันชิวอิก) ซึ่งเป็นวันแรกของปีใหม่จีน การกินเจในมื้อเช้าเป็นประเพณีที่สำคัญ โดยเชื่อกันว่า การกินเจในมื้อแรกของปีจะช่วยให้คนกินได้รับบุญและโชคลาภตลอดทั้งปี เนื่องจากการกินเจถือเป็นการงดเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์ และเป็นการทำบุญด้วยการรับประทานอาหารที่สะอาดและดีต่อสุขภาพ
โดยทั่วไปแล้ว การกินเจในวันตรุษจีนถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความบริสุทธิ์และโชคลาภ ผู้ที่กินเจเชื่อว่า จะได้รับความสุขและความเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ และยังเป็นการสะสมบุญบารมีสำหรับตัวเอง นอกจากนี้การกินเจในวันแรกของปียังเป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และธรรมชาติ ตามความเชื่อของชาวจีนที่ให้ความสำคัญกับความสะอาดและความบริสุทธิ์ในช่วงเวลานี้อีกด้วย
3. ทำพิธีรับ “ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ”
พิธีรับ “ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ” ในวันตรุษจีนคือพิธีที่เชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภและทรัพย์สินมาให้โชคดีและความมั่งคั่งในปีใหม่ โดยพิธีมักทำในช่วงหลังเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งของคืนก่อนวันตรุษจีน (วันซาจั๊บ) ด้วยการตั้งโต๊ะบูชา พร้อมของไหว้ เช่น ผลไม้ ขนมหวาน อาหารมงคล และการจุดธูปสวดขอพร เพื่อเสริมโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองให้กับครอบครัวในปีใหม่
พิธีนี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อในเรื่องของการอวยพรให้ปีใหม่เริ่มต้นด้วยความโชคดี และการเคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของผู้คนในวัฒนธรรมจีน
4. ติดตุ๊ยเลี้ยง หรือ คำอวยพรปีใหม่
ติดตุ๊ยเลี้ยง” หรือคำอวยพรปีใหม่เป็นหนึ่งในประเพณีที่สำคัญของชาวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยในอดีตคนจีนที่มีความรู้ด้านการเขียนจะใช้หมึกดำหรือสีทองเขียนคำอวยพรลงบนกระดาษสีแดง หรือที่เรียกว่า “ตุ๊ยเลี้ยง” ซึ่งจะเป็นการเขียนคำกลอนที่แสดงถึงความปรารถนาดี เช่น “ทำมาค้าขึ้น” หรือ “ให้มั่งมีเงินทอง” เพื่ออวยพรให้ครอบครัวมีความเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่หากใครไม่มีความรู้ในการเขียนภาษาจีนก็สามารถไปจ้างมืออาชีพให้เขียนได้ โดยแหล่งที่มีบริการนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านไชน่าทาวน์หรือเยาวราชคำอวยพรที่นิยมเขียนจะมี 7 ตัวอักษร ซึ่งเขียนเป็นคำกลอนและนำมาติดที่สองข้างประตูบ้าน และจะต้องมีแผ่นหนึ่งติดในที่ตรงกลางทางเข้า-ออกบ้าน โดยคำที่เขียนจะเป็นคำว่า “ชุก ยิบ เผ่ง อัง” ซึ่งหมายถึง การเข้า-ออกบ้านโดยปลอดภัยนอกจากนี้ ชาวจีนยังนิยมติดภาพเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายที่เรียกว่า “หนี่อ่วย” (ภาพเด็กมงคล) บริเวณประตูหน้าบ้านเพื่อเสริมโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองให้กับครอบครัวในปีใหม่
5. ใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใส
ในวันตรุษจีน ชาวจีนมักนิยมใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใสเพื่อเสริมโชคลาภและความเป็นสิริมงคล โดยเชื่อว่าเสื้อผ้าสีใหม่และสดใสจะนำสิ่งดีๆ และความโชคดีเข้ามาในปีใหม่ การเลือกใส่เสื้อผ้าสีสดใสสะท้อนถึงความหวังในการเริ่มต้นใหม่และการเปิดรับโอกาสดีๆ
โดยเฉพาะสี “แดง” ซึ่งเป็นสีที่นิยมมากที่สุดในวันตรุษจีน เพราะมีความหมายเกี่ยวข้องกับความมงคลและความมั่งคั่ง สีแดงถือเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี การปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และการดึงดูดความสำเร็จ ทำให้การใส่เสื้อผ้าสีแดงในวันตรุษจีนกลายเป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน
สิ่งที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน
1. ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะ
ในวันตรุษจีน การรักษามารยาทและคำพูดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเชื่อกันว่า คำพูดและพฤติกรรมในวันตรุษจีนจะมีอิทธิพลต่อโชคชะตาและชีวิตในปีนั้นๆ ดังนั้นจึงมีความเชื่อว่าห้ามพูดคำหยาบหรือทะเลาะกันในวันตรุษจีน เพราะจะนำความโชคร้าย ความขัดแย้ง และสิ่งไม่ดีมาในปีใหม่
การพูดจาอ่อนโยนและมีมารยาทถือเป็นการเสริมสร้างความสุข ความสงบ และความเจริญรุ่งเรืองให้กับครอบครัวและตัวเองในปีใหม่ ชาวจีนจึงให้ความสำคัญกับการใช้คำพูดที่ดี อวยพรให้กันและกัน และหลีกเลี่ยงการทะเลาะหรือพูดจาหยาบคายในวันสำคัญนี้ เพื่อให้ปีใหม่เริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆ และโชคลาภที่มีความสุขและสมบูรณ์
2. ห้ามสระผมหรือตัดผม
ในวันตรุษจีน ชาวจีนเชื่อว่าห้ามสระผมหรือตัดผม เนื่องจากคำว่า “ผม” (发, ฟา) ในภาษาจีน พ้องเสียงและพ้องรูปกับคำว่า “มั่งคั่ง” หรือ “ความเจริญรุ่งเรือง” (发, ฟา) การสระหรือการตัดผมในวันตรุษจีนจึงถือเป็นการนำความมั่งคั่งและโชคลาภออกไปจากชีวิต โดยเชื่อว่าจะทำให้ปีใหม่ขาดความเจริญรุ่งเรืองและโชคดี
ดังนั้น เพื่อรักษาความเป็นสิริมงคลและเสริมโชคลาภในปีใหม่ ชาวจีนมักจะหลีกเลี่ยงการสระผมหรือการตัดผมในช่วงวันตรุษจีน และมักจะรอจนกว่าจะผ่านวันแรกของปีใหม่ไปก่อนถึงจะทำได้
3. ห้ามใส่ชุดขาวดำ
ในวันตรุษจีน ชาวจีนเชื่อว่าห้ามใส่ชุดสีขาวดำ เพราะสีเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความตายและความโชคร้าย สีขาวและดำจึงไม่ได้รับความนิยมในวันตรุษจีน เนื่องจากมีความหมายเกี่ยวข้องกับความเศร้าโศกและความไม่เป็นมงคล
แทนที่การใส่สีขาวดำ ชาวจีนมักจะเลือกใส่เสื้อผ้าสี แดง ซึ่งเป็นสีแห่งความโชคดี ความมงคล และการขับไล่สิ่งชั่วร้าย โดยเชื่อว่าเสื้อผ้าสีแดงจะนำความร่ำรวย ความเจริญรุ่งเรือง และความสุขมาสู่ชีวิตในปีใหม่
4. ห้ามซักผ้าในวันตรุษจีน
ในวันตรุษจีน ชาวจีนเชื่อว่าห้ามซักผ้า เพราะเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งน้ำ (ซึ่งถือเป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับการให้ความอุดมสมบูรณ์และโชคลาภ) เกิดในวันตรุษจีน การซักผ้าจะถือเป็นการลบหลู่หรือไม่ให้เกียรติต่อเทพเจ้าท่านนั้น ซึ่งอาจนำความโชคร้ายและสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิตได้
เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งไม่ดี ชาวจีนจึงหลีกเลี่ยงการทำงานที่เกี่ยวกับน้ำ เช่น การซักผ้า การล้างจาน หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำในวันตรุษจีน เพื่อให้ปีใหม่เริ่มต้นด้วยความโชคดีและความเป็นมงคล
5. ห้ามทำของแตก
ในวันตรุษจีน ชาวจีนเชื่อว่าห้ามทำของแตก เพราะเชื่อว่าเป็นลางร้าย ซึ่งอาจหมายถึงการที่ครอบครัวจะแตกแยกหรือมีคนเสียชีวิตในครอบครัว หากทำของแตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ถือเป็นการดึงดูดโชคร้ายและสิ่งไม่ดีเข้ามา
แต่หากเกิดเหตุการณ์ทำของแตกโดยไม่ตั้งใจ ชาวจีนมีวิธีแก้เคล็ดโดยการพูดว่า “luo di ka hua” (落地开花) ซึ่งแปลว่า “ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกลงสู่พื้น” เป็นการสื่อถึงความหวังว่าเหตุการณ์ที่ไม่ดีจะเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งดีและเจริญรุ่งเรืองในที่สุด เหมือนกับดอกไม้ที่ตกลงสู่พื้นแล้วจะเบ่งบานขึ้นมาใหม่
วันตรุษจีนเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่และการเฉลิมฉลองชีวิตครอบครัว การบูชาบรรพบุรุษ การมอบโชคลาภแก่กันและกัน การทำความสะอาดบ้านและการตกแต่งด้วยสีแดงเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสิ่งดีๆ ในปีใหม่ การใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและคนที่เรารักในวันตรุษจีนทำให้มันกลายเป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยความหวัง ความสุข และความเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่
Comments are closed.